สวัสดีค่า วันนี้จันจะมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการเตรียมตัวเดินทางไปเที่ยวที่ดินแดนอาทิตย์อุทัยกันต่อเลยนะคะ
หลังจากที่จัดการเรื่องเอกสารและวางแผนการเดินทางอย่างคร่าวๆ แล้ว ขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้จะทำให้เราเริ่มรู้แล้วว่า การเดินทางในครั้งนี้จะต้องใช้เงินประมาณเท่าไหร่ อาหาร 3 มื้อ (กะคร่าวๆสักประมาณวันละ 2000 เยน) ค่าเดินทาง (ไม่น่าเกินวันละ 1500 เยน ถ้าอยู่เฉพาะในโตเกียวและเดินทางโดยรถไฟ ให้ดีก็ดูเรื่องตั๋ว one day pass เพิ่มเติมอาจจะลดค่าเดินทางได้บ้าง) บัตรค่าเข้าสถานที่ต่างๆ อย่าง พิพิธภัณฑ์ สวนสนุก Gallery และอื่นๆซึ่งกำหนดไว้ตายตัว เราควรดูไปก่อนเลย เพื่อกะค่าใช้จ่าย สุดท้ายคือเงินที่จะใช้จ่ายซื้อของทั้งของส่วนตัวและของฝาก ถ้าไม่มีของที่จะซื้ออยู่ในใจ ก็ติดตัวไป 30000 เยนก็น่าจะพอ แต่ถ้าอยากได้นู้นนี่นั่นเยอะแยะก็คงต้องคำนวณค่าใช้จ่ายกันหนักๆ หน่อยล่ะค่ะ (จันแนะนำให้สำรวจราคาได้ที่ amazon.co.jp หรือ official site ของเว็บสินค้าค่ะ ถ้าไม่มีโปรโมชั่น สินค้าญี่ปุ่นราคามาตรฐานอยู่แล้ว)
ในเรื่องของการแลกเงิน จันแนะนำให้เริ่มเช็คอัตราแลกเปลี่ยนตั้งแต่คิดจะไปค่ะ ช่วงไหนค่าเงินลงก็ทยอยแลกไปก่อน อาจจะแลกทีละ 10000-20000 เยน แบ่งๆ แลก ไม่จำเป็นต้องแลกรวมทีเดียว สมมติเกิดเปลี่ยนใจไม่ไปขึ้นมา ก็แค่ไปแลกคืน อาจจะเช็คช่วงที่เรทรับซื้อสูงกว่าตอนที่ซื้อมา ก็แลกได้เลย กำไรอีกต่างหาก
เงินเยนจะขึ้นจะลงช่วงไหนเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ดังนั้นเราควรมีเรทในใจว่าโอเค ถ้าเรทต่ำถึงเท่าไหร่จะไปแลก ถ้าเงินบาทแข็ง และญี่ปุ่นกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินเยนอาจจะลงมาเหลือ 29-30 บาท /100 เยน ถ้าต่ำกว่า 30 บาท จันแนะนำให้แลกไปเลยค่ะ เพราะถือว่าถูกมากแล้ว ถ้ารออยากให้ต่ำลงอีก อาจเสียโอกาสได้ค่ะ ค่าเงินเป็นเรื่องที่เปลี่ยนตลอดเวลา เงินที่เราถือจะกำไรหรือขาดทุนต้องเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่เราใช้ค่ะ หมายความว่า ถ้าอัตราที่เราแลกต่ำกว่าอัตราของบัตรเครดิต ก็ถือว่าเรากำไรแล้วค่ะ ^^
ส่วนแหล่งแลกเงินหนีไม่พ้น ซุปเปอร์ริช ล่ะค่ะ เรทขายจะต่ำกว่าธนาคารเล็กน้อย และไม่เปลี่ยนวันละหลายๆ ครั้งเหมือนอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคาร จึงแลกได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องรีบร้อนแลก อ้อ อย่าลืมสำเนาพาสปอร์ตไปก่อนแลกนะคะ ที่นี่เขาต้องใช้พาสปอร์ตหรือบัตรประชาชนเป็นหลักฐานด้วยค่ะ
ส่วนใครคิดจะใช้บัตรเครดิต คงต้องลุ้นอัตราแลกเปลี่ยนช่วงนั้นๆ ถ้าอยากคุมค่าใช้จ่าย จันแนะนำให้แลกเงินสดไปให้พอจะดีกว่าค่ะ
สำรวจกระเป๋าสตางค์แล้ว เรามาสำรวจกระเป๋าเสื้อผ้ากันบ้าง
จันไป 7 วัน ใช้กระเป๋าล้อลาก 4 ล้อ ขนาด 24 นิ้วค่ะ ตัวเลขแลดูเยอะ แต่จันว่าใบก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่นะคะ
เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่จันเลือก จะเป็นเสื้อ กระโปรง กับกางเกงเลคกิ้งค่ะ จันว่าเสื้อแบบนี้เบาดี ไม่ค่อยหนัก พับเก็บก็ง่าย พับได้เป็นชิ้นเล็กๆ ไม่ค่อยยับ แถมเอามาใส่ซ้ำแล้ว Mix and Match ใหม่ก็ง่าย ของจันอาจจะพิเศษนิดหน่อย ตรงที่จันชอบกระโปรงบานๆ ถ้าสมมติเอาของยัดลงกระเป๋าไม่ลง วันกลับจันกะว่าจะใส่กระโปรงหลายๆ ตัวซ้อนกันกลับค่ะ ฮ่าๆ อันนี้จันเตรียมไว้แบบนั้นจริงๆ นะคะ ถ้าใครดูเสื้อผ้าแล้วเพลินๆ ก็ลองจัดเป็นชุดๆ ไปเลยค่ะ แล้วจดไว้ว่าเราจะใส่แบบไหนบ้าง
เสื้อหนาว จันเอาไปสองตัว แบบหนากับแบบบางค่ะ เราไปฤดูใบไม้ผลิ อากาศกำลังสบาย อาจมีหนาวบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไร เอาไปอย่างละตัวก็คงพอ
Tips: เสื้อผ้ากับฤดูของคนญี่ปุ่นเป็นสิ่งคู่กันค่ะ เมื่อเข้าฤดูใหม่ แบบ โทนสี ก็จะเปลี่ยนไปตามฤดูเสมอ ถ้าอยากทันสมัยแบบคนญี่ปุ่น ลองเช็คนิตยสารญี่ปุ่นแปลไทยทั้งหลายระหว่างที่เลือกเสื้อผ้าก็ดีค่ะ แต่ถ้าเอาแบบคร่าวๆ ว่าจะต้องแต่งตัวประมาณไหน จันรวบรวมมาฝากค่ะ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในเรื่องการแต่งตัวตามฤดูกาลคือ สี ค่ะ ฤดูกาลของญี่ปุ่นคือ
Spring (Mar-May) > Summer (Jun-Aug) > Autumn (Sep-Nov) > Winter (Dec-Feb)
สีสดใสโทนอ่อน พวกพาสเทล เชอร์เบ็ท > สีฉูดฉาดเหลือง ชมพู ฟ้า > สีทึมๆ น้ำตาล น้ำเงิน > สีเข้มจนถึงสีดำ
Credit : รูปในนิตยสาร Vivi ฉบับภาษาไทยค่ะ
Spring Style : จำง่ายๆ ว่าเป็นสีของ Summer+สีขาว หรือก็คือพวกสีครีม ชมพูอ่อน ม่วงอ่อน เหลืองอ่อน ฟ้าอ่อน น้ำตาลอ่อน และลาย flower print สวยหวานแบบผู้หญิง เน้นการแต่งตัวเสื้อผ้าสไตล์คล้ายๆ วินเทจ ชุดเดรสยาว ชุดนิตติ้งลายหลวมๆ สีอ่อน เสื้อประดับลูกไม้หวานๆ หรือกระโปรงสั้นกับเสื้อคลุมบางๆ ได้รับความนิยมค่ะ
Credit : รูปในนิตยสาร Vivi ฉบับภาษาไทยค่ะ
Summer Style : เสื้อผ้าโปร่งสบาย สีสันฉูดฉาด หรือพวกสไตล์ Marine + Military (ลายขวางสีน้ำเงินกรมท่าสลับขาว) ก็จะเริ่มเยอะช่วงปลาย Spring ต้น Summer แต่ที่ญี่ปุ่นฤดูร้อนก็ร้อนจริงๆ ค่ะ เย็นกว่าบ้านเรานิดเดียว ถ้าไปฤดูร้อนก็เอาเสื้อผ้าที่ใส่ปกติไปได้เลยค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะหนาว
Credit : รูปในนิตยสาร Vivi ฉบับภาษาไทยค่ะ
Autumn Style : ฤดูใบไม้ร่วงอยู่ตรงกลางระหว่างฤดูร้อน (สดใส) กับ ฤดูหนาว (ขรึมเศร้า) สีก็คือเป็นสีของ Summer ผสมกับสีดำค่ะ เสื้อผ้าจะเป็นโทนที่เข้มขึ้นแต่ยังไม่ถึงดำ แดงเลือดหมู เขียวทหาร น้ำตาลเข้ม อะไรประมาณนี้ ลุคเท่ๆ จะเข้ากันกับสีได้ดีค่ะ
Credit : รูปในนิตยสาร Vivi ฉบับภาษาไทยค่ะ
Winter Style : เน้นสีเทาและดำเป็นหลัก เครื่องหนาวขนเฟอร์ เสื้อถักไหมพรม หรือสไตล์อังกฤษจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษค่ะ แต่ที่สำคัญคืออย่าลืมว่าต้องกันหนาวค่ะ เพราะที่นู้นก็หนาวจริงๆ เตรียมเครื่องหนาวไปให้พร้อม แล้วก็ถ้าไปเมืองเหนืออย่างฮอกไกโด ก็พกพวกถุงร้อน ที่ครอบหู ไปด้วยก็ดีค่ะ คุณพ่อคุณแม่ไปมาบอกว่าหนาวสุดๆ และหิมะก็ลื่นมากด้วยค่ะ
รองเท้าก็เน้นใส่สบาย จันเตรียมไปสองคู่เป็นผ้าใบคู่นึง กับ บูทหนังสีดำอีกคู่นึง สองคู่นี้จันใส่ในเมืองไทยบ่อยๆ อยู่แล้ว วันที่ไป-กลับสนามบิน จันแนะนำให้หารองเท้าที่ใส่-ถอดได้ง่ายนะคะ เพราะตอนสแกนกระเป๋าและร่างกายอาจต้องถอดรองเท้าค่ะ ถ้าใครไปช่วงน่าหนาวและหิมะตก ให้หารองเท้าดีๆ นะคะ ทำกันลื่นให้เรียบร้อย เพราะหิมะเวลาละลายจะทำให้ถนนลื่นมาก
ต่อมาคือเรื่องกระเป๋า นอกจากกระเป๋าเดินทางแล้ว จันเอากระเป๋าไปเพิ่มเติมอีก 3 ใบค่ะ
ใบแรกเป็นกระเป๋าพับได้ค่ะ กางออกมาแล้วเป็นใบใหญ่ จันกะไว้ว่า ถ้าสมมติเราซื้อของมาเยอะและหนักพอ จะเอาพวกของที่ซื้อลงกระเป๋าเดินทางให้หมด แล้วใส่เสื้อผ้าในกระเป๋าใบนี้แทน หรือถ้ารวมกันแล้วพอดีก็จะโหลดเข้าเครื่องสองใบค่ะ
ใบที่สองคือกระเป๋าเป้ค่ะ ใบนี้จันไว้พกติดตัวเวลาไปไหนมาไหน กระเป๋าใบนี้เป็นกระเป๋าหนา แข็งแรง ใส่ของหนักได้ (จริงๆ มันเป็นกระเป๋าโน้ตบุคล่ะนะคะ) ถ้าเกิดว่าตอนขากลับจันใช้กระเป๋าพับขึ้นเครื่อง ก็คงเก็บกระเป๋าใบนี้เข้ากระเป๋าเดินทางแล้วโหลดไปเลยค่ะ
กระเป๋าใบเล็ก อันนี้เป็นกระเป๋าสะพายข้างแบบผู้หญิงค่ะ แบนๆ ขนาดไม่ใหญ่ ตอนขาไปจันใส่พวกกิ๊ปติดผมกับเครื่องสำอางไปด้วย แต่พอถึงที่ญี่ปุ่น จันจะเอามาใช้ในวันที่ไม่ใช่วันชอปปิ้งค่ะ หรือวันที่ไปเที่ยวนอกเมือง ชมธรรมชาติ สะดวกดี ไม่ต้องหิ้วกระเป๋าใหญ่เทอะทะไปค่ะ
อุปกรณ์พิเศษอื่นๆ ที่จำเป็นก็มีเครื่องชั่งน้ำหนักกระเป๋า กับ เครื่องปล่อย Wifi จาก Lan กล้อง แบต เมมโมรี่การ์ด นอกนั้นก็จะเป็นของใช้ส่วนตัวทั่วไปตามประสาผู้หญิง อย่างเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว ผ้าเช็ดตัว สบู่ แชมพู ฯลฯ (ไม่แน่ใจว่าที่โฮสเทลมีให้หรือเปล่าเลยติดไปด้วยค่ะ)
สุดท้ายจริงๆ คือเอกสารการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก พาสปอร์ต และคู่มือท่องเที่ยวหรือคู่มือภาษาติดไปสักเล่ม และรูปถ่ายติดบัตร เผื่อในกรณีจำเป็นจริงๆ (เช่น พาสปอร์ตหาย) จะได้ทำใหม่ได้ค่ะ เอกสารนี้เตรียมไปให้พร้อมนะคะ สำคัญมากๆ และอย่าลืมทำสำเนาพาสปอร์ต (หน้าแรก) กับหน้าวีซ่าญี่ปุ่นไว้ด้วยนะคะ ใครสแกนหรือถ่ายรูปเก็บไว้ในมือถือด้วยก็ดีค่ะ เพื่อยืนยันตัวตนของเราแทนการสำเนาเอกสารอีกทางนึง
เอาล่ะค่ะ จบเรื่องการเตรียมตัวทั้งหมดแล้ว ตอนนี้ก็เคลียร์งานทุกอย่างในมือ รอเวลาจะเดินทางสู่ญี่ปุ่นกันแล้วค่ะ
*********************
ทั้งหมดเป็นการเขียนและวาดโดยจันเองใครจะก๊อปไปไว้ไหน
เครดิต www.nuchun.com ด้วยนะคะ
ขอบคุณค่า

– แอดหนูจัน – บล็อกเกอร์ตัวกลม อารมณ์ดีที่ชอบหาอะไรทำสนุกๆ ภายในบ้าน รักการเขียน การอ่าน การวาดรูป และการทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองเป็นชีวิตจิตใจ หลงใหลในมนต์เสน่ห์ของเครื่องเขียน อุปกรณ์งานฝีมือและอุปกรณ์ศิลปะ Craft it Myself • Draw my Life • Create my World