ครั้งที่แล้วจันเล่าให้ฟังเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ที่จันไปเข้าชมที่ญี่ปุ่นไป 2 ที่แล้ว ครั้งนี้จะมาเล่าต่อเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ที่สุดท้ายคือ Ghibli Museum นั่นเองค่ะ
สำหรับใครที่ไม่รู้ว่า Ghibli คืออะไร จันขออธิบายคร่าวๆ สักหน่อยแล้วกันนะคะ
Credit Fanart Picture : http://hyung86.deviantart.com
Studio Ghibli (ที่ญี่ปุ่นอ่านออกเสียงคำว่า จิบลี เป็น จิบุริ ค่ะ) เป็นสตูดิโอผลิตภาพยนตร์การ์ตูนชื่อดังของญี่ปุ่นค่ะ สตูดิโอนี้ตั้งขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1985 โดยไดเร็คเตอร์ Hayao Miyazaki กับ Isao Takahata และ โปรดิวเซอร์ Toshio Suzuki หลังจากภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Nausicaä of the Valley of the Wind ประสบความสำเร็จ ภาพยนตร์การ์ตูนชื่อดังของสตูดิโอนี้ ยกตัวอย่างเช่น เรื่อง Spirited Away (เรื่องนี้ได้รางวัลออสการ์ และ Golden Bear ด้วยนะคะ), Grave of the Fireflies (สุสานหิ่งห้อย), My neighbor Totoro (Totoro เป็นสัญลักษณ์ของสตูดิโอ)
(เพลงประกอบ Ponyo Live with Orchestra Version)
Ponyo (เรื่องนี้แค่เพลงประกอบก็ดังมากแล้วค่ะในญี่ปุ่น) และอื่นๆ ซึ่งจะเรียกได้ว่าเกือบทุกเรื่องนั้นประสบความสำเร็จหมดก็ว่าได้ จุดเด่นของภาพยนตร์การ์ตูนคือมักจะมีเรื่องแฟนตาซีมาเกี่ยวข้อง ภาพสวยสองมิิติแท้ๆ แบบดั้งเดิม เนื้อเรื่องสนุก มีข้อคิดดี และดูได้ทุกเพศทุกวัยค่ะ (จันจะชอบเรื่องเกี่ยวกับเด็กเป็นพิเศษค่ะ ^^ )
Ghibli Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นโดยทางสตูดิโอเอง ที่นี่อุทิศพื้นที่ในอาคารทรงยุโรปทุกตารางนิ้ว แก่เด็กๆ ชาวญี่ปุ่นตัวน้อยๆ และผู้ใหญ่หัวใจเด็กทั้งหลาย มิวเซียมแห่งนี้ตั้งอยู่ที่มิตากะค่ะ (ดูวิธีการไปได้ที่นี่)
Credit : http://www.ghibli-museum.jp/
โดยจะต้องซื้อตั๋วก่อนที่ร้านสะดวกซื้อ Lawson ตอนจันไปจันให้เพื่อนที่อยู่ที่นู้นช่วยจองให้ค่ะ ตั๋วสำหรับผู้ใหญ่ราคา 1000 เยน ของประเทศไทยเหมือนจะซื้อจากนอกประเทศไม่ได้ จึงต้องไปซื้อที่ญี่ปุ่น เพื่อนๆ มองหาร้านสะดวกซื้อ Lawson แล้วบอกเขาว่า Mitaka no Mori Jiburi Bijutsukan no kippu (มิตากะ โนะ โมริ จิบุริ บิจุซึคัง โนะ คิปปุ) พนักงานที่ร้านน่าจะช่วยเรากดตั๋วจากเครื่องคอมพ์ให้ค่ะ หรือจะดูวิธีกดตั๋วจากที่นี่ก็ได้ค่ะ
เวลาจองก็จองล่วงหน้าไปก่อนก็ดีค่ะ ถ้าจองกระชั้นชิดเกินไปบางช่วงอาจเต็มแล้ว รีบจองให้เร็วจะดีที่สุดค่ะ และควรเช็ควันหยุดก่อนจองด้วย เพราะ มิวเซียมอาจหยุดบางวันค่ะ (เช็คได้ที่นี่ค่า) เวลาจองจะต้องระบุเวลา วันไหน กี่โมง (เขามีรอบเช้า รอบบ่าย) และ ห้ามสายนะคะ ! ตั๋วนี้ใช้ได้ตามที่ระบุเวลาไว้เท่านั้น และเลทได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมงค่ะ
Update 14.06.2016
ตอนนี้มีบริการจองตั๋วล่วงหน้าแล้วนะคะ ผ่านทางเอเจนซี่ที่ชื่อ “Voyagin” ซึ่งเป็นเอเจนซี่รับจองตั๋วและอีเวนท์ต่างๆ ในญี่ปุ่น เพื่อนๆ สามารถจองล่วงหน้าได้ก่อนไป 1 เดือน ดังนั้นไม่ต้องไปลุ้นกันในวันจริง ถ้าใครที่ตารางแน่นและค่อนข้างฟิกซ์ แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงก็เป็นบริการที่น่าสนใจค่ะ การรับตั๋วจะไปรับที่ออฟฟิศชิบุยะ หรือให้ไปส่งที่โรงแรมในญี่ปุ่นก็ได้ค่ะ ลองเข้าไปอ่านรายละเอียดกันก่อนได้ค่ะ (EN)
เมื่อนั่งรถไฟมาถึงสถานีมิตากะ ก็ออกทาง South Exit ซื้อตั๋วรถบัสจากตู้เหลืองๆ ซึ่งจะมีทั้งแบบรอบเดียว 200 เยน และไปกลับ 300 เยนค่ะ รถบัสคันนี้จอด 4 ป้าย ปลายทางอยู่ที่จิบลี มิวเซียมค่ะ ไปรถบัสสะดวกดีค่ะ จอบอกป้ายในรถชัดเจน ข้างในมีโฆษณาภาพยนตร์การ์ตูนของจิบลีด้วย นั่งไปก็ได้บรรยากาศ ยกเว้นว่ามันไม่ใช่ Neko Bus นะคะ ฮ่าๆ
เมื่อลงจากรถบัสจะได้เห็นต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมด ทางขวามือจะเป็นสวนสาธารณะ ส่วนทางซ้ายมือจะเป็นเขตมิวเซียม ประตูรั้วเป็นซี่ๆ ไม่สูงนัก เสานาฬิกาแขวนแบบยุโรปสีแดง อาคารทรงยุโรปที่มีไม้เลื้อยปกคลุม
เมื่อผ่านใกล้จะเข้าอาคาร จะเห็นป้ายห้ามถ่ายรูป ห้ามเอาอาหารเข้า ห้ามโทรศัพท์ และ ห้ามสูบบุหรี่ ดังนั้นนอกจากรูปภายนอกอาคารแล้ว จันเลยไม่มีรูปมาฝากกันนะคะ แต่ขอเล่าเรื่องราวผ่านตัวอักษรแล้วกัน
ก้าวแรกที่เหยียบเข้าไปในอาคาร เงยหน้าจะเห็นภาพเขียนรูปดวงอาทิตย์และท้องฟ้าสีสันสดใส พนักงานยืนยิ้มปรี่ ขอตั๋วจากเรา เมื่อยื่นตั๋วให้แล้วเธอก็มอบโบรชัวร์และแผ่นฟิล์มดูหนัง 25 นาทีที่ฉายเฉพาะที่นี่มาให้ค่ะ จากที่จันจับความภาษาญี่ปุ่นได้ เธอถามว่ามาเป็นครั้งแรกเหรอ มาจากไหน เมื่อตอบไปว่ามาจากกรุงเทพฯ ท่าทางเธอดีใจและต้อนรับอย่างดี จากนั้นจึงเดินลงบันไดไปเพื่อไปชั้น 1 ของอาคารค่ะ
กางโบรชัวร์ดู ก็เจอกับแผนที่สเกชคร่าวๆ บอกโซนต่างๆ ภายในมิวเซียม ชั้น 1 จะเป็นพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์การ์ตูน เป็นห้องที่แสดงผลงานของจิบลีโดยทำเป็นบ้านตุ๊กตาค่ะ เราเปิดดูตามหน้าต่างประตูได้ บางบานจะได้เห็นเซ็ทจำลองด้วย แล้วก็มีส่วนให้ความรู้ คือทางสตูดิโอได้สร้างโมเดลเพื่ออธิบายขั้นตอนการทำภาพยนตร์การ์ตูนขึ้นมา ตั้งแต่หลักการภาพติดตา ที่ใช้โมเดลของเมอิจังกระโดดเชือก ค่อยๆ ขยับแล้วใช้แกนหมุนไปรอบๆ แล้วเราจะเห็นโมเดลเหล่านั้นขยับได้อย่างน่าอัศจรรย์ การซ้อนภาพโดยใช้การเพ้นท์ลงบนแผ่นใสจนเกิดเป็นภาพที่มีความลึก และ การทำงานของแผ่นฟิล์ม และเครื่องฉายฟิล์มสมัยก่อน แต่ทั้งหมดนี้ผู้ใหญ่อย่างเราต้อง “ย่อตัว” ดูค่ะ เขาสร้างมาไว้ให้เด็กๆ จริงๆ
ห้องตรงข้ามในชั้นนี้จะเป็นห้องฉายการ์ตูนสั้น 25 นาทีที่ฉายเฉพาะในมิวเซียมเท่านั้นค่ะ ยื่นตั๋วที่เป็นฟิล์มให้เขา แล้วเขาจะประทับตรา ก่อนจะให้เราเข้าแถวรอคิวเพื่อเข้าโรงหนัง ตอนที่จันไปเป็นเรื่อง Mei to Neko Bus ค่ะ ก็เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับเมอิและเจ้าเหมียวรถบัส ประมาณว่าเมอิจับเจ้าเหมียวรถบัสรุ่นลูกได้ เจ้าเหมียวเลยพาเมอิไปเที่ยวและไปเจอบรรพบุุรุษจนถึงรุ่นหง่อมเลยทีเดียว เนื้อเรื่องไม่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษ จันก็อาศัยภาษาญี่ปุ่นงูๆ ปลาๆ เดาเรื่องไปค่ะ ตอนที่ดูไปเสียงเด็กๆ เจี๊ยวจ๊าวเลย แบบหัวเราะเสียงดัง สนุกสนาน จันน้ำตาไหลเลยอ่ะค่ะ จันเข้าไปคนเดียว เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนหลงไปไหน เข้าไปดูหนัง ได้ฟังเสียงเด็กๆ สนุกสนาน ได้ดูตัวการ์ตูนที่ชอบ และความรู้สึกที่ได้มาสถานที่ที่เราใฝ่ฝัน ทำให้น้ำตาไหลออกมาไม่หยุดเลยค่ะ รู้สึกตื้นตันจริงๆ ดูไปปาดน้ำตาไป ยิ้มไป ตลกแท้ๆ ฮ่าๆ
พอขึ้นมาชั้นสอง (ทางขึ้นมีทั้งทางลิฟต์แก้วโบราณ บันไดวนแคบๆ และบันไดธรรมดา) ฝั่งโรงหนังจะเป็นจำลองห้องทำงานของสตูดิโอ เป็นห้องที่สมจริงสมจังมากๆ ค่ะ ภาพสเกชสีน้ำของตัวละครติดอยู่เต็มผนัง โมเดล อัลบั้มรูปสถานที่ต่างๆ ซึ่งใช้เป็นแรงบันดาลใจ โต๊ะทำงานที่ยังมีภาพวาดสีน้ำทิ้งไว้อยู่ หนังสือยุโรปกองพะเนิน สีเพ้นท์แผ่นใส สีเพ้นท์ฟิล์ม และเครื่องแพนกล้องต่างๆ อัดแน่นอยู่ในห้องขนาดปานกลางนี้
ห้องอีกด้านเป็นห้องสำหรับ exhibition เป็นนิทรรศการที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนที่จันไปเป็นนิทรรศการ The Gift of Illustrations ― A Source of Popular Culture จันไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับอะไร แต่เหมือนจะเป็นภาพประกอบนิทาน ที่มีตัวละครเป็นมังกร เจ้าหญิง เจ้าชาย ทำนองนี้ ข้างๆ มีลุงหมูฮายาโอะคอยอธิบายนู้นนี่ด้วย
ด้านนอกอาคารของชั้นนี้ มี Straw Hat Cafe ภายนอกเป็นผนังไม้สีเหลืองจัดจ้าน ตัดด้วยสีแดง มีป้ายเมนูหัวหมูจาก Pocco Rosso คอยบอกเมนูเด็ดของแต่ละวัน
ตรงหัวมุมด้านหน้ามีก๊อกน้ำล้างมือสีสันสดใส (ความสูงสำหรับเด็กเช่นเคย พร้อมเก้าอี้ต่อขาตัวเล็กๆ) ด้านหน้าคาเฟ่มีโต๊ะเรียงกันให้ผู้เข้าชมได้พักเหนื่อย พร้อมกับดื่มน้ำ กินไอติม ฮอทดอกตรงนั้น แล้วก็ทางนี้เป็นทางไปสู่ทางออกจากพิพิธภัณฑ์ด้วย
นอกจากนี้ยังมีบันไดต่อไปลานกลางแจ้งชั้นล่าง ซึ่งตกแต่งด้วยอาคารไม้เก่าๆ พร้อมดอกไม้ กองฟืน และเครื่องสูบน้ำแบบคันโยกสมัยโบราณ ล๊อคเกอร์อยู่ข้างๆ เรียงเป็นตับ และประตูหลอกที่ข้างในเป็นภาพวาดวิวเมือง สวยมากๆ เลยค่ะ
บ้านนี้ไม่ใช่ตั้งไว้น่ารักๆ อย่างเดียว แม้ประตูจะเปิดไม่ได้ แต่ถ้ามองลอดผ่านหน้าต่างเข้าไปข้างในก็ตกแต่งไว้ด้วยนะคะ ไม่ใช่บ้านร้างทำโชว์หลอกๆ ธรรมดา
เครื่องสูบน้ำสมัยก่อน เด็กๆ ชอบมาเล่นกันค่ะ จริงๆ น้องๆ ชักกันไม่ค่อยจะถึง เลยได้แต่จับปลายคันโยก น้ำก็ไม่ค่อยไหล คุณพ่อคุณแม่เสียมากกว่าที่ต้องสูบให้ลูกเล่นน้ำ จันไปลองแล้ว มันก็สูบยากเหมือนกันนะคะ บางทีโยกแล้วน้ำก็ไม่ออกอยู่ดี T^T
Coin Locker ไว้ฝากของ จันจำไม่ได้ว่ากี่เยน ประตูหลอกตรงนี้น่ารักมากๆ เลยนะคะ ด้านในเป็นภาพวาดสไตล์จิบลี มองไปแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูโลกของจิบลีอยู่บนระเบียงสูงๆ เลยค่ะ
ส่วนชั้นสาม ชั้นบนสุดจะเป็นร้านขายของที่ระลึก MAMMA AIUTO! ซึ่งน่าจะมีโซนนี้โซนเดียวละมั้ง ที่ไม่ใช่สำหรับเด็ก เพราะในร้านนี้ผู้ใหญ่เดินกันพลุกพล่าน ขนาดที่ว่ามีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงมาถามจันว่าหม่าม้าอยู่ไหน ฮ่าๆ แม้จะห้องเล็กๆ แต่น้องหนูก็หลงกับคุณแม่ได้นะคะ จริงๆ ถ้าถามว่าร้านนี้มีของทุกอย่างไหม ก็ไม่ครบค่ะ ซีดี หนังสือ โปสการ์ด โมเดล พวงกุญแจ เข็มกลัด ส่วนมากจะเป็นของประเภทนี้นะ ของหลักๆ เหมือนเน้นที่พิพิธภัณฑ์พอๆ กับการ์ตูนของทางสตูดิโอ ราคาก็เป็นราคาตามมาตรฐานของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ค่ะ อย่างโปสการ์ดฉากจากการ์ตูนขายในราคา 158 เยน (โปสการ์ดมารุโกะที่จันซื้ออีกร้านก็ราคานี้ค่ะ) หนังสือของพิพิธภัณฑ์เล่มปกอ่อน บาง เย็บแม๊ก หนึ่งชุดมีสองเล่ม (แถมโปสเตอร์ภาพสเกชที่เห็นในโบรชัวร์) ราคา 1000 เยน แต่เล่มหนาสองภาษา ราคา 2940 เยน การ์ดเซ็ทบรรจุกล่องอย่างดี (มีซองกับการ์ด) ราคา 2520 เยน รวมๆ แล้วจันหมดไปเกือบๆ 10000 เยนค่ะ
อีกด้านหนึ่งจะเป็นร้านหนังสือของพิพิธภัณฑ์ แต่เน้นไปทางหนังสือนิทานภาพสำหรับเด็กค่ะ ห้องนี้เป็นห้องเล็กๆ คนไม่ค่อยเยอะ ถ้าใครอยากมาลองเดินชมหนังสือแบบสงบๆ ก็มาที่นี่ได้ค่ะ
อีกจุดหนึ่งที่เป็นไฮไลท์สำหรับเด็กคือ Neko Bus ยักษ์ที่อนุญาตให้เด็กๆ ประถมเล่นเท่านั้น มีเจ้าหน้าที่คอยจำกัดเด็กๆ ที่เข้าเล่น เหมือนให้เล่นเป็นรอบๆ ไปค่ะ
นอกระเบียงตรง Neko Bus มีที่นั่งกับจุดดื่มน้ำค่ะ ที่นั่งของเขาเป็นโครงเหล็กมีคันหมุนแล้วจะได้ยินเสียงแกรกๆ
พร้อมกับบันไดวนขึ้นไปลานชั้นบนที่ีมี The Robot Solider จาก Laputa Castle in the Sky คอยปกป้องมิวเซียมอยู่ค่ะ
บริเวณทั้งหมดของ Ghibli Museum ก็ประมาณนี้ค่ะ สิ่งที่จันชอบเกี่ยวกับที่นี่ นอกจากจะได้สัมผัสการ์ตูนที่ชื่นชอบอย่างใกล้ชิดแล้ว ที่นี่ยังทำให้เราเข้าใกล้โลกของเด็กๆ และบรรยากาศของครอบครัวได้ดีมากๆ เลยค่ะ ความอบอุ่นทำให้สถานที่นี้เต็มไปด้วยความสุขจริงๆ
Update : 14.06.2016
Credit : Ghibli Expo Official Website
ใครได้ไปญี่ปุ่นช่วงนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม – 11 กันยายน 2016 ช่วงนี้มีนิทรรศการ Ghibli Expo ที่ Roppongi Hills ค่า (น่าไปมากอ่ะ) สถานที่ดูแผนที่ได้ที่นี่เลย รายละเอียดการซื้อตั๋วดูได้ที่นี่ (JP) หรือจองตั๋วผ่านเอเจนซี่ที่รับจอง ดูรายละเอียดได้ที่นี่ค่ะ (EN)
Credit : cinematoday.jp
งานนี้จัดเพื่อฉลอง 30 ปีของสตูดิโอจิบลีโดยเฉพาะ ภายในงานจะมีโมเดลสามมิติที่สร้างจากการ์ตูนเรื่องต่างๆ ของจิบลีพร้อมวิวมุมสูงของโตเกียวสุดตระการตา นอกจากนี้ยังจัดแสดงโบรชัวร์ ใบปลิวภาพยนตร์ที่ใช้เพื่อโปรโมทการ์ตูนของสตูดิโอ ภาพสเกชและเบื้องหลังต่างๆ ในการสร้างการ์ตูนที่ไม่เคยได้แสดงที่ไหนมาก่อนให้ชมกันเต็มพื้นที่จัดแสดง ตั้งแต่เรื่อง Nausicaä of the Valley of the Wind จนถึงเรื่องล่าสุด The Red Turtle ที่เป็นการจับมือครั้งแรกกับสตูดิโอประเทศฝรั่งเศสด้วย ท้ายสุดแวะเข้าคาเฟ่และช๊อปของที่ระลึกลิมิตเต็ดที่มีในงานนี้งานเดียวเท่านั้น แฟนๆ Ghibli (ที่สู้ค่าเงินไหว 55) ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงเลยทีเดียว ! ภาพภายในงานเพิ่มเติมดูได้ที่นี่เลยค่ะ
สำหรับแฟนๆ ของจิบลีที่อยากซื้อของเกี่ยวกับการ์ตูนของสตูดิโอ จันมีอีกสามที่มาแนะนำกันค่ะ
ที่แรกคือ Donguri Kyowakoku ร้านนี้ขายสินค้าลิขสิทธิ์ของจิบลีค่ะ แต่ร้านนี้จะเน้นของใช้ในบ้านและสินค้าที่น่าจะถูกใจสาวๆ อย่างผ้าเช็ดหน้า ถ้วย ชาม กระเป๋าสตางค์ และถ้าจันจำไม่ผิดมีโซนของใช้เด็กด้วยค่ะ
แมวจากเรื่องกิกิก็มีสินค้าขายเยอะทีเดียวค่ะ ของน่ารักๆ ทั้งนั้น ซึ่งหลายๆ อย่างก็ไม่มีใน Museum ถ้าได้แวะไปแล้วอยากได้อะไรก็ซื้อเลยนะคะ อย่าคิดว่าจะไปซื้อทีเดียวที่มิวเซียม ส่วนรูปขวานั้นเป็นดิสเพลย์ของร้านค่ะ เป็นโตโตโร่กับเมอิหลับอยู่กลางป่า เมื่อกดปุ่มแล้วโตโตโร่จะส่งเสียงกรน และขยับพุงขึ้นๆ ลงๆ ตามการหายใจด้วยค่ะ (ดูเพลินเลยจริงๆ นะ)
ส่วน Neko Bus ตัวโตก็คอยเฝ้าดีวีดีกับหนังสือค่ะ ร้านนี้มีครบเลย
สาขาที่จันไป คือสาขา Tokyo Solamachi สถานีโตเกียวสกายทรี น่าจะเป็นสาขาใหม่สุดค่ะ ร้านนี้มีอีก 6 สาขาด้วยกัน (ตามเว็บไซต์นะคะ เข้าไปดูได้ที่ benelic.com ค่ะ)
ร้านที่สอง แอบผ่านไปเห็นอยู่ตรงใกล้ๆ ประตู Kaminarimon เป็นร้านเล็กๆ ตอนแรกว่าจะออกมาดูหลังจากเดินถนนนากามิเซะเสร็จ แต่ออกมาตอน 6 โมงนิดๆ ร้านปิดแล้วค่ะ เลยไม่รู้เลยว่าเขาขายอะไร T^T
ร้านสุดท้ายไม่ใช่ร้านที่ขายจิบลีเฉพาะค่ะ แต่เป็นร้านขายของเล่นที่มีโซนของสตูดิโอ จิบลีอยู่ด้วย ในร้านนี้มีโมเดลของจิบลี พวงกุญแจตุ๊กตา แม้แต่ขวดน้ำแก้วจากการ์ตูนเรื่อง Panda Go Panda ของฮายาโอะซังก่อนหน้าที่จะตั้ง Studio Ghibli ก็มีค่ะ นอกจากนี้ยังมีจิ๊กซอว์ด้วยค่ะ แต่ไปรวมอยู่ในโซนจิ๊กซอว์ชั้น 3 หรือ 4 ของตึกยามาชิโรยะนี่ละค่ะ
ร้านยามาชิโรยะอยู่ที่อุเอโนะ เป็นตึกใหญ่ 6 ชั้น ด้านหน้ามีโมเดลโชว์การ์ตูนโชว์อยู่ สังเกตได้ไม่ยากค่ะ
ครั้งหน้าจะพาเพื่อนๆ ไปช้อปเสื้อผ้ากันนะคะ
*********************
ทั้งหมดเป็นการเขียนและวาดโดยจันเองใครจะก๊อปไปไว้ไหน
เครดิต www.nuchun.com ด้วยนะคะ
ขอบคุณค่า
– แอดหนูจัน – บล็อกเกอร์ตัวกลม อารมณ์ดีที่ชอบหาอะไรทำสนุกๆ ภายในบ้าน รักการเขียน การอ่าน การวาดรูป และการทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองเป็นชีวิตจิตใจ หลงใหลในมนต์เสน่ห์ของเครื่องเขียน อุปกรณ์งานฝีมือและอุปกรณ์ศิลปะ Craft it Myself • Draw my Life • Create my World