Nuchun's Atelier

บล็อกรีวิวเครื่องเขียน l สีมาร์คเกอร์ l อุปกรณ์วาดรูป พร้อมวิธีทำงานประดิษฐ์สนุกๆ ที่ทำได้ที่บ้าน

[Reading] เทคนิคการกลับมา “อ่านหนังสือ” อีกครั้ง

ไม่ได้มาอัพซะนาน ดองอยู่สักพักใหญ่เพราะงานยุ่งๆ และไปต่างประเทศเพิ่งกลับมาค่ะ สาเหตุอีกอย่างก็คือช่วงนี้มีงานอดิเรกใหม่ล่ะ! ก็คือ “การอ่านหนังสือ” ค่ะ เป็นงานอดิเรกที่ไม่แปลก แต่ดูเป็นเรื่องหายากขึ้นในยุคนี้เนอะ วันนี้จันเอาเรื่องการกลับมาอ่านหนังสืออีกครั้งมาเล่าให้ฟังกันค่ะ

“การอ่านหนังสือ” ณ ที่นี้ไม่ได้หมายถึงการอ่านหนังสือเตรียมสอบหรอกนะ แต่หมายความถึงการกลับมาอ่านหนังสืออ่านเล่น เป็นงานอดิเรกสำหรับคนที่ห่างหายหลังจากติดมือถืองอมแงมต่างหาก!

เพื่อนๆ อ่านหนังสือกันอยู่ไหมคะ?

ตั้งแต่เด็กๆ จันอ่านหนังสือมาตลอดค่ะ อ่านนิยาย วรรณกรรมเด็ก ไม่ใช่หนอนหนังสือแต่ก็อ่านสลับๆ กับงานอดิเรกอื่นๆ แต่พอติดมือถือมากขึ้นเรื่อยๆ การอ่านสเตตัสยาวสามบรรทัดยังยากเลย รู้สึกอาการหนักมาก คิดอยู่ในหัวตลอดว่า “แบบนี้แย่แล้วนะ” ช่วงสี่หรือห้าปีที่ผ่านมาจะอ่านคำนำให้จบหน้าก็ยังทำไม่ได้เลย! แต่พอกลางปีที่ผ่านมา จันลองจับหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วอ่านได้จนจบ หนังสือเล่มเดียวนั้น ทำให้จันดีใจมากแล้วหลังจากนั้นภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา จันอ่านหนังสือได้ราวๆ 30 เล่มค่ะ เป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยนะ วันนี้ก็เลยอยากมาแนะนำวิธีการเลือก “เล่มแรก” ที่จะพาเรา COME BACK มาอ่านหนังสือกัน

  1. “เล่มแรก” ต้องเห็นภาพ
    เมื่อไหร่อ่านแล้วไม่เห็นภาพ เราจะอ่านจุดนั้นวนๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่ไปไหน พออ่านได้ไม่ไปไหนก็จะเบื่อจนเลิกอ่านไป เพราะอย่างนั้นลองเลือกหนังสือที่เอื้อให้เราเห็นภาพดูค่ะ จะเป็นหนังสือที่เคยดูหนังหรือละครมาแล้ว หรือหนังสือจากประเทศที่เราคุ้นเคยกับวัฒนธรรมก็ได้นะ พออ่านแล้วเห็นภาพตัวละคร สภาพแวดล้อม การกระทำต่างๆ อยู่ในหัว เราก็จะอ่านไปได้เรื่อยๆ ไม่ติดขัดค่ะ
  2. ถ้าสมาธิยังไม่แกร่งพอ เลือกหนังสือที่ย่อหน้าสั้นๆ!
    หนังสือเล่มแรกที่ตัดสินใจจะอ่าน จะเลือกแบบเจออะไรอยากอ่านก็หยิบขึ้นมาอ่านก็ได้ แต่ถ้ายังวอกแวกเหมือนคนสมาธิสั้น ยังไม่แกร่งพอ ลองเริ่มจากหนังสือที่มีย่อหน้าสั้นๆ ดูสิคะ! เวลาอ่านหนังสือที่ย่อหน้าไม่ยาวนัก จะอ่านได้เร็วและปะติดปะต่อเรื่องราวได้ง่ายกว่า ถ้าย่อหน้าเกินเจ็ดแปดบรรทัดเนี่ย จะรู้สึกว่า อ่านนานแล้วนะ จะจบรึยังเนี่ย สมาธิเราที่ยังไม่แกร่งพอ จะแกว่งไปก่อนค่ะ
  3. อ่านแล้วต้องอ่านวนไปวนมา ให้เลิกอ่าน เปลี่ยนไปอ่านเล่มอื่นทันที
    บางทีปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่เราหรอกนะ แต่เป็นหนังสือที่เราอ่านต่างหาก ภาษาที่ใช้ การวางโครงเรื่อง มันมีหลายๆ ส่วนที่ทำให้เราอาจไม่เข้าใจ ลองเปลี่ยนไปอ่านเล่มอื่นดูบ้างจะดีกว่า
  4. อย่าฟังเพลงไทยเวลาอ่านหนังสือ
    ไม่ได้จะแอนตี้คนชอบเพลงไทยนะคะ แต่เนื้อเรื่องที่อ่านอยู่กับเพลงที่ฟังอยู่จะตีกัน สังเกตหลายครั้งแล้ว เวลาที่เพลงไทยที่ลอยผ่านหูมา จะจินตนาการภาพในเนื้อเพลงแทนที่จะเป็นภาพในหนังสือทุกที จู่ๆ เรื่องฆาตกรรมกลายเป็นรักสามเส้าไปเสียดื้อๆ ลองหาเพลงที่ไม่มีเนื้อร้องหรือเพลงภาษาต่างประเทศมาฟังแก้เหงาระหว่างอ่านหนังสือจะได้ผลดีกว่าค่ะ (ลองเอา Original Soundtrack ของหนังเรื่องที่โทนเดียวกันมาฟังก็ดีมากๆ นะ ต้องลอง!)
  5. เลือกเวลาที่ Notification ไม่เด้งบ่อยๆ เวลาอ่าน
    ปกติจันปิด Notification ทั้งหมดเลยค่ะ ยกเว้นอย่างเดียวคืออีเมลบริษัทที่จะตั้งเสียงเอาไว้ เพราะจันว่ามันกวนสมาธิกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง คนที่ติด Social เอามากๆ ถ้าไม่อยากปิด Notification ก็ลองเลือกเวลาที่ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหว วันละ 10-20 นาทีก็พอค่ะ อ่านแบบไม่มีอะไรมารบกวนดู ถ้าได้ลองอ่านแบบไม่ติดขัด ไม่มีอะไรมารบกวน แล้วชอบ ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะ
  6. พกหนังสือไว้ในกระเป๋าตลอดเวลา
    ช่วงเวลาที่จันอ่านหนังสืออย่างจริงจังคือเวลาขึ้นรถไฟฟ้าค่ะ ทันทีที่แปะบัตรพ้นประตูไปแล้ว จะหยิบมือถือ ใส่หูฟัง เปิดเพลง แล้วอ่านหนังสือทันทีค่ะ ถ้าเปิด Facebook แล้วเริ่มไถ ก็จะไม่ได้อ่านหนังสือค่ะ ช่วงเวลาเหมาะจะอ่านหนังสือมากเพราะทุกคนก้มหน้าก้มตา ไม่มีใครสนใจใครอยู่แล้ว เราทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้ด้วยสถานการณ์บังคับ เราเลยจดจ่อกับการอ่านได้มาก จันใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ระหว่างอยู่รถไฟฟ้าใต้ดินจะอ่านได้ราวๆ 30-50 หน้า Pocket Book ค่ะ นอกจากนี้ยังถือเป็นการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์โดยไม่ต้องลดกิจกรรมเดิมๆ ลงด้วยนะ!
  7. อ่านหนังสือพวก How-to สลับกับนิยาย
    จริงๆ นะ ถ้าลองได้อ่านหนังสือ How-to ประเภทวิธีการจัดระเบียบชีวิต วิธีการประหยัด ที่เขาชอบแปลมาขาย เพื่อนๆ จะรู้ว่าหนังสือ How-to อ่านง่ายและจบไวมาก โดยเฉพาะเล่มบางๆ ที่มีรูปประกอบด้วย จะยิ่งอ่านไว หนังสือประเภทนี้มีประโยชน์ดีค่ะ สถานการณ์ใกล้ตัวเราทำให้ไม่ต้องจินตนาการเยอะ ตอบคำถามตรงจุดและมีเคล็ดลับอะไรที่เรานึกไม่ถึง แต่ถ้าอ่านดีๆ จะพบว่าจริงๆ แล้วหลักการในหนังสือประเภทนี้มีไม่กี่อย่าง ถ้าจับตรงนั้นได้ เราจะอ่านแป๊บเดียวจบและจำได้ไม่ลืมเลยล่ะ จันมักจะอ่านหนังสือ How-to สลับกับนิยายค่ะ เพราะเหมือนเป็นช่วงเบรค ที่ทำให้เราพักสมอง (แต่อ่านจบเป็นเล่มๆ ไปนะ) และได้ประโยชน์แบบเป็นชิ้นเป็นอัน ใช้ได้ทันที เห็นผล
  8. อ่านหนังสือตามที่ตัวละครอ่าน
    จันไม่รู้หรอกนะคะว่าลักษณะหนัง ละครไทย หรือนวนิยายไทยเป็นยังไง แต่จันลองใช้วิธีนี้หาหนังสืออ่าน ก็เป็นวิธีที่สนุกมากอีกแบบค่ะ ในหนังสือหรือหนังละครที่จันดู มักจะมีกล่าวถึงหนังสือบ่อยๆ บอกว่าตัวละครชอบหนังสือเล่มนี้มากบ้าง กล่างถึงแบบเปรียบเทียบบ้าง หรือสืบคดีที่เกี่ยวกับหนังสือบ้าง ความรู้สึกแบบ “อยากเข้าใจตัวละครขึ้นมาอีกนิด” จะทำให้เราอยากอ่านสิ่งที่เขาอ่านหรือพูดถึงตามไปด้วยค่ะ

    เช่นเรื่อง บิเบลีย – บันทึกไขปริศนาแห่งร้านหนังสือ โดย  En Mikami สำนักพิมพ์ animag books เรื่องนี้เป็นเรื่องของเจ้าของร้านหนังสือมือสองที่ได้รับการไหว้วานจากลูกค้าให้ค้นหาเรื่องราวต่างๆ จากหนังสือเก่า ว่าเรื่องราวของเจ้าของหนังสือนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ในเรื่องนี้จะกล่าวถึงหนังสือหลายเล่มมาก มักเป็นวรรณกรรมเรื่องเยี่ยมของญี่ปุ่นและวรรณกรรมดังๆ ของต่างประเทศ เวลาตัวละครเล่าเรื่องย่อของหนังสือให้ฟัง เหมือนมารีวิวให้ย่อๆ จะทำให้เราอยากอ่านหนังสือเล่มนั้นต่อ ในละครญี่ปุ่นหลายเรื่องก็มีกล่าวถึงหนังสือมากอย่างน่าแปลกใจ นี่แหละมั้งที่ทำให้คนของเขายังอ่านหนังสือกันเยอะอยู่
  9. อ่านแล้วเขียน เขียนแล้วอ่าน
    อ.มกุฏ อรฤดีเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าเด็กๆ จดบันทึก พวกเขาจะอ่านมากขึ้นเพื่อหาเรื่องมาเขียนบันทึก แต่ตอนนี้จันยังเขียนบันทึกเป็นนิสัยไม่ได้ แต่พออ่านหนังสือจบสักเล่ม จันมักจะพยายามเขียนบันทึกด้วยค่ะ จุดที่ชอบ ข้อคิดดีๆ หรือเรื่องย่อ จะเขียนเอาไว้ในเฟสบุคส่วนตัวค่ะ การอ่านกับการเขียน เป็นทักษะรับความรู้และการแสดงออกเงียบๆ ที่มักมาคู่กัน ถ้าทำได้สม่ำเสมอทั้งสองอย่างก็คงดีนะ ดังนั้นพอได้อ่านแล้ว จึงทำให้มีโอกาสจะได้เขียนมากขึ้นค่ะ

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มอ่านหนังสือจบสักเล่ม
เล่มที่สองเราจะอ่านหนังสือดีๆ ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดค่ะ

หนังสือเล่มแรกที่อยากแนะนำ

ใครไม่รู้จะเลือกเล่มแรกเรื่องอะไรดี ลองเก็บลิสต์นี้ไว้พิจารณานะคะ จันอ่านแล้วสนุกค่ะ

  1. Light Novel ญี่ปุ่น – Biblia Koshodou no Jiken Techou ภาษาไทย บิเบลีย – บันทึกไขปริศนาแห่งร้านหนังสือ โดย  En Mikami สำนักพิมพ์ animag books
  2. Light Novel ญี่ปุ่น – Hidamari no Kanojo ภาษาไทย หญิงสาวในแสงตะวัน โดย Osamu Koshigaya สำนักพิมพ์ Sunday* Afternoon (ถ้าดูหนังมาก่อนจะเห็นภาพตามชัดมากค่ะ)
  3. Light Novel ญี่ปุ่น – Bannō Kanteishi Kyū No Jikenbo ภาษาไทย แฟ้มคดีพิศวงของนักประเมินอัจฉริยะ Q โดย Matsuoka Keisuke สำนักพิมพ์ Enter Books (เล่ม 6 เป็นต้นมาสนุกเป็นพิเศษค่ะ เล่ม 1-5 จบไม่ค่อยตื่นเต้นค่ะ)
  4. Light Novel ญี่ปุ่น – Okitegami Kyoko no Biboroku ภาษาไทย บันทึกกันลืมของยอดนักสืบเคียวโกะ โดย NISIOISIN สำนักพิมพ์ DexPress
  5. นวนิยายแคนาดา – Anne of Green Gables ภาษาไทย โลกของแอนน์ โดย L. M. Montgomery ฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์
  6. นวนิยายญี่ปุ่น – Shokuzai ภาษาไทย ชดใช้ โดย Minato Kanae แพรวสำนักพิมพ์
  7. นวนิยายอังกฤษ – Mary Poppins Comes Back ภาษาไทย แมรี่ ป๊อปปิ้นส์ กลับมาแล้ว โดย P.L. TRAVERS สำนักพิมพ์ผีเสื้อ (เรื่องนี้ยังไม่ได้อ่านเล่มแรก แต่เล่มนี้ตลกมากค่ะ)
  8. How to – รวยได้ใน 100 วัน ด้วยพลังแห่งการจัดระเบียบ โดย Yoon Sun-hyun สำนักพิมพ์ Amarin (จั่วหัวว่ารวย แต่ไม่ได้เกี่ยวกับการเงินเลยแม้แต่น้อยค่ะ แต่สอนให้เรารู้จักจัดระเบียบชีวิตในทุกๆ ด้าน แล้วใช้ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างคุ้มค่า แล้วรายจ่ายเรื่องที่ไม่จำเป็นจะลดลงค่ะ)
  9. How to – เวทมนตร์ในการจัดระเบียบข้าวของ โดย Yasushi Komatsu สำนักพิมพ์ฟรีมายด์

ทำไมต้องอ่านหนังสือ

อาจมีคนสงสัยว่าการอ่านหนังสือกับการอ่านอะไรเจ๋งๆ บนโซเชียลนั้น แตกต่างกันไหม เพราะในโซเชียลก็มีสาระ ความรู้ เรื่องราวให้อ่านเต็มไปหมด ถ้าถามจัน ข้อมูลหรือความรู้ที่เราอ่านไม่ใช่สิ่งที่อยากได้มากที่สุดค่ะ แต่สิ่งที่ทำให้ไม่ว่ายังไงก็ควรอ่านหนังสือก็คือ “สมาธิ” ค่ะ ตั้งแต่จันกลับมาอ่านหนังสือ การจดจ่ออยู่กับงานหรือสิ่งที่ตั้งใจว่าจะทำ ดีขึ้นเยอะค่ะ จันรู้สึกว่ามีสมาธิดีและยาวนานขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ในอินเตอร์เน็ทสิ่งล่อใจเยอะค่ะ แล้วเรามักจะตอบสนองทุกอย่างทันที พอเป็นแบบนั้นแล้ว จันว่าเราติดเอามาใช้ในการทำงานหลายๆ อย่างด้วย อย่างในออฟฟิศ สมัยก่อนเวลาได้ยินคนอื่นคุยอะไรกัน ก็จะวอกแวกทันที แต่ตอนนี้รู้สึกต่อมอยากรู้อยากเห็นจะทำงานน้อยลงมาก เราใจเย็นลง รอได้ และหยุดตัวเองให้ “ไม่ทำและไม่รับรู้” ได้ เวลาที่ได้มาก็ทำสิ่งที่ต้องการจะทำจริงๆ ได้มากขึ้น และจัดระเบียบตัวเองได้ดีขึ้นด้วย เพราะสิ่งที่เราวางแผนไว้เป็นไปตามที่ใจหวัง

เพราะอย่างนั้นสิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือไม่ใช่แค่ความรู้
แต่เป็นการล้างพฤติกรรมไม่ดีบางอย่างออกไปด้วยค่ะ

ถ้าอ่านบล็อคยาวขนาดนี้จนจบได้ จันว่าเพื่อนๆ ก็พร้อมแล้วล่ะค่ะ ที่จะอ่านหนังสือ
ลองไปเปิดกรุหนังสือดอง แล้วเริ่มอ่านไปด้วยกันตั้งแต่วันนี้เลยนะคะ!

*********************
ทั้งหมดเป็นการเขียนโดยจันเอง
ใครจะก๊อปไปไว้ไหน เครดิต www.nuchun.com ด้วยนะคะ
ขอบคุณค่า